ใน
สมัยโบราณ ต้นคริสต์มาส หมายถึงต้นไม้ในสวนสวรรค์
ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาปไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6)
ตั้งศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส
และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก
แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน
เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่หาง่ายที่สุดในประเทศเหล่านั้น
การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่
15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง
เนื่องจากการแสดงนั้นกลายเป็นการเล่นเหมือนลิเกล้อชาวบ้าน
ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนาซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง
ชาวบ้านรู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสดูละครสนุกๆ แบบสนุกๆ แบบนั้นอีก
จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน
เพราะต้นไม้เป็นจุดเด่นในลานวัด ที่เขาเคยร่วมสนุกสนานกัน หลังจากนั้น
ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล และแขวนแผ่นขนมปัง
เพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิทซึ่งมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุด
ก็กลายเป็นขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
นอก
จากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่ง คือ
มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิดไว้ตลอดคืนคริสต์มาส
โดยมีดาวของดาวิดอยู่ที่ยอดปิรามิด
ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนมก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้มา
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้เป็นรูปทรงปิรามิด
นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน
ที่มีการแขวนของขวัญและไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส
และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด
ประเพณีนี้เป็นที่นิยมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก
แม้
ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาสมีความเป็นมาดังกล่าว
ชาวคริสต์ในสมัยนี้ก็ยังนิยมทำกันอยู่
เพราะเห็นว่ามีความหมายถึงพระเยซูเจ้าผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต
(ปฐก.2:9) ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า
และนอกจากนั้นยังหมายถึงความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนทีส่องในความมืด
ทั้งยังหมายถึงความชื่นชมยินดีและความสามัคคีที่พระเยซูเจ้าประทานให้
เพราะต้นไม้เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น